ทริปเที่ยวกับเพื่อนหลังเรียนจบ TOWNS in Japan 🇯🇵
ผมเชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยมีความคิดที่อยากจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หลังเรียนจบกันสักครั้งไม่ว่าจะ มัธยม หรือ มหาลัย ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดแบบนั้น และแล้วสิ่งที่คิดนั้นในที่สุดมันก็ได้เกิดขึ้นจริงในทริปนี้ TOWNS in Japan
หลายคนน่าจะเคยพยามยามชวนเพื่อนไปเที่ยวกันมาบ้างและแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะสามารถหาช่วงเวลาที่ว่างตรงกัน เป้าหมายการเที่ยวที่ตรงกัน งบประมาณที่เป็นไปได้ และเรื่องอื่นๆ ยิบย่อยอีกมากมาย จนหลายๆทริปก็ล่มกันเป็นเรื่องปกติ จนทริปไหนที่สำเร็จได้นี่ถือเป็นปาฏิหาริย์ และ แค่จะนัดกินข้าวให้ครบกลุ่มยังยากเลย แต่นี่จะไปต่างประเทศ ไม่ใช่แค่ 2,3 คน แต่จะไปกันเกือบ 10 คน แค่คิดก็พร้อมจะล่มแล้ว แต่มันก็รอดจนสามารถไปได้ (ได้ไงวะ555) กับเวลาตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนจนได้ไปจริงๆมากกว่า 1 ปี และนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นครับ
จุดเริ่มต้น
เอาจริงๆอันนี้จำแบบเป๊ะๆไม่ได้แต่เอาเป็นว่าจำได้ประมาณนี้ละกัน😂 เริ่มเรื่องด้วยเวลาที่ค่อนข้างนาน เริ่มเรื่องด้วยช่วงเวลาน่าจะประมาณปี 3 ในช่วงเวลาทำโปรเจควิชา Software Architecture ได้มีวันนึงที่ผมและเพื่อนๆ น่าจะไปกินอะไรสักอย่างจำไม่ได้ละ แล้วมานั่งคุยเล่นที่ห้องเพื่อนคนนึง จนได้มีการเปิดเรื่องที่ว่า เรามาทำโปรเจคนี้ให้สำเร็จแล้วไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันเถอะ แล้วทุกๆคนก็เห็นด้วยกัน โดยที่ทุกคนอยากที่จะไปประเทศญี่ปุ่น เลยเกิดเป็นเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จ (เอาจริงๆคือตอนนั้นไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะได้มา😅)
จุดเปลี่ยน
หลังจากเพิ่งเริ่มต้นก็เข้าสู่จุดเปลี่ยนในไม่นาน แน่นอนว่าการจะไปต่างประเทศนั้นเรื่องที่สำคัญจนแทบจะที่สุดนั้นไม่พ้นเรื่องค่าใช้จ่าย ที่แน่นอนว่าไม่ถูก ยิ่งเป้าหมายในการไปในครั้งนี้คือประเทศญี่ปุ่นซึ่งก็ไม่ได้ถูกเลย การที่คนเกือบ 10 คนจะสามารถไปได้ย่อมใช้เงินไม่ใช่น้อยๆ จากความคิดที่จะทำโปรเจคให้สำเร็จและให้มันพาเราไปให้ได้นั้น ด้วยความสามารถของพวกเราในตอนนั้น ไม่ได้ทำให้มันสำเร็จได้ แต่ความอยากในการไปของเรานั้นยังอยู่ ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นนั้นแต่ละคนก็จำเป็นที่จะต้องหากันมาเอง ซึ่งก็มีทั้งคนที่สามารถรับได้และมีความจำเป็นอื่นๆที่ไม่สามารถมาได้
เริ่มวางแผน
ประมาณเดือนสิงหาคมปี 2023 ก็เป็นช่วงที่ได้เริ่มมีการนัดคุยเพื่อวานแผนอย่างจริงจังโดยในตอนแรกนั้นเริ่มด้วยการให้แต่ละคนพิมพ์กันมาว่ามีที่ไหนอยากไปบ้าง เพื่อที่จะเอาที่ที่แต่ละคนอยากไปมารวมๆกัน แล้วก็ต่อด้วยการหาช่วงเวลา เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงฝึกงานก่อนขึ้นปี 4 และหลายๆคนในกลุ่มก็ทำสหกิจด้วยทำให้ช่วงเวลาเดียวที่จะเป็นไปได้ก็คือช่วงหลังทุกคนเรียนจบนั่นก็คือประมาณช่วงเดือน เมษา-พฤษภา ด้วยความที่ยังไม่ชัวว่ามันจะปิดจบจริงๆได้ช่วงไหนเนื่องจากการเลื่อนเปิดเทอมของ ม เลยเผื่อๆช่วงเวลาไว้ที่เดือน พฤษภาคม เนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินอยู่ในราคาที่ไม่แพงมาก โดยตอนนั้นกดดูจาก skyscaner เลย
โดยแผนในช่วงแรกๆ นั้นเนื่องจากเกือบทุกคนที่จะไปในทริปนี้นั้นยังไม่เคยไปญี่ปุ่นกันเลย ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกด้วย เลยอยากที่จะไปดูฟูจิกัน และ อยากเที่ยวโตเกียว เลยเปิดเป็นความคิดที่เราจะออกไปต่างจังหวัดก่อนสัก 2-3 วันแล้วค่อยกลับมาเที่ยวในโตเกียว
หลังจากพูดคุยกันอยู่นานก็ได้ผลว่าอยากไปชิสุโอกะอันเนื่องจากเป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากฟูจิ น่าจะเป็นที่ที่น่าจะเห็นวิวฟูจิได้สวยดี จนได้เริ่มวางแผนออกมาได้ระดับนึงก็พบว่า ไม่รู้จะไปไหนดี5555 แล้วในช่วงนั้นมีงานนี้จัดขึ้นพอดีเลยได้ไปเผื่อหาข้อมูลเอามาทำแพลนเที่ยว
และหลังจากกลับมาก็แทบจะเป็นการรื้อแพลนจัดใหม่กันหลายรอบอยู่ทั้งเปลี่ยนจังหวัด เพิ่มสถานที่ เพิ่มจำนวนวัน ตั้งแต่เริ่มวางแพลนจนได้แพลนสถานที่ที่ final ก็กินเวลาไป 2 เดือนและการประชุมนับครั้งไม่ถ้วนจนก็ยังไม่ได้สถานที่ที่จะไปแน่นอนแต่ในเมื่อได้ช่วงเวลาที่จะไปแล้วก็จองตั๋วก่อนเลยละกัน
เข้าสู่การจองตั๋วเครื่องบิน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้มั่นใจว่าแพลนนี้จะไม่ล่มแน่ๆเพราะเสียตังไปแล้ว😂 โดยเราได้จองตั๋วกันในช่วงเกือนตุลาคมปี 2023 และบินจริงเดือน พฤษภาคม 2024 ซึ่งก็ล่วงหน้านานใช้ได้
และหลังจองตั๋วเครื่องบิน และ การประชุมอีกนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อสรุปแพลนเที่ยวและที่พักก็ได้ออกมาประมาณนี้
- Day 1 : Tokyo -> Fujikawaguchiko
ที่พัก Ori Ori House (Airbnb)
- Day 2 : Fujikawaguchiko -> Matsumoto
ที่พัก Hippo Inn (Airbnb)
- Day 3 : Kamikochi
ที่พัก Hippo Inn ที่เดิม (Airbnb)
- Day 4 : Matsumoto -> Tokyo
ที่พัก APA Hotel Asakusa Tawaramachi Ekimae
- Day 5 : Tokyo (Free Day)
ที่พัก APA Hotel Asakusa Tawaramachi Ekimae ที่เดิม
- Day 6 : Back to BKK
ซึ่งเดี๋ยวพอถึงเวลาจริงจะมีการเปลี่ยนแผนไปเรื่อยอีก555
สำหรับสถานที่ที่เห็นในแพลนอาจจะดูน้อยไปตั้งหลายวันแต่ทำไมไปอยู่ไม่กี่ที่ เนื่องจากครั้งนี้เราอยากจะใช้เวลาอยู่กับแต่ละสถานที่นานๆ แล้วก็เผื่อเวลาการเดินทางข้ามเมืองหลายครั้ง แล้วก็เผื่อเวลาให้สามารถไหลออกนอนแผนได้ด้วย
หลังจากได้ที่พักได้ที่เที่ยวต่อไปก็เป็นการเดินทาง โดยในครั้งนี้เราเดินทางด้วยรถไฟกันเป็นหลักโดยส่วนใหญ่เป็นรถไฟของ JR East โดยสามารถจองล่วงหน้าผ่าน หน้าเว็บ ได้เลย
และเนื่องจากบางเส้นทางนั้นไม่ได้มีรอบรถไฟหรือไม่มีของ JR เราก็เดินทางด้วย Bus ซึ่งก็สามารถจองออนไลน์ไปก่อนได้เช่นกัน
ระหว่างทริป
วันที่ 1
เมื่อมาถึงวันเดินทางในวันแรกนั้นเราก็สามารถเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นได้อย่างปลอดภัย หลังจากที่ทุกคนสามารถเข้าประเทศได้อย่างไม่มีปัญหา (ตม คนเยอะมากกก) และก็เริ่มวันแรกด้วยการต้องรีบไปรับตั๋วรถไฟจำนวนมหาศาลที่จองไว้ที่สนานีในสนามบินนาริตะ สำหรับใครที่ไม่รู้ เวลาเราจองตั๋วรถไฟผ่านทางหน้าเว็บมานั้น เราจำเป็นที่จะต้องมารับตั๋วกระดาษที่สถานี และเนื่องจากเราไม่รู้ว่าระหว่างเดินทางจะไปรับที่ไหนได้อีก และ อยากได้ตั๋วทั้งหมดมาไว้เลยเพื่อความปลอดภัย เลยเลือกรับตั๋วตลอดการเดินทางที่สถานีตั้งแต่วันแรกเลย ซึ่งก็ต้องรีบสุดๆ เนื่องจากมากันหลายคน ทั้งเอกสารที่ต้องยืนยันเส้นทางอีกมากมาย เลยเป็นการเริ่มวันที่รีบแบบสุดๆ และเมื่อรับตั๋วเสร็จเราก็มีเวลารอรถไฟเพื่อเดินทางจากสนามบินนาริตะไปสถานีชินจูกุประมาณ 20 นาที
หลังจากเดินทางถึงสถานีชินจูกุก็เป็นช่วงเวลาประมาณเที่ยงพอดีก็เลยได้เป็นช่วงเวลาของมื้อแรกในญี่ปุ่นโดยการปล่อยให้แต่ละคนหาไรกินเองในสถานี😂 โดยมีเวลาประมาณครึ่ง ชม ก่อนที่รถบัสจะออก เนื่องจากเราต้องเดินทางต่อไป Kawaguchiko และ ที่สถานีนี้เป็นที่ที่เราสามารถหาซื้อบัตร Suica ได้ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการเดินทางของเราในครั้งนี้ หลังจากเสร็จภารกิจแต่ละคน เราก็เดินทางกันต่อไปที่ Kawaguchiko โดยระหว่างทางช่วงใกล้ๆถึงวิวสวยมากก เห็นฟูจิจากในรถเลย
โดยเมื่อเรามาถึงที่สถานีกันแล้วก็เดินไปที่พักกันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีเดินประมาณ 7 นาทีถึงหลัง บ้านหลังที่เราเช่าไว้นั้นสวยมากทั้งตัวบ้านแล้วก็วิวจากตัวบ้าน สามารถเห็นวิวฟูจิได้เลยจากบนเตียง หรือเปิดออกไปตรงระเบียงก็เห็นฟูจิได้เต็มๆ
หลังจากที่เราสำรวจบ้านกันเรียบร้อยก็เริ่มการออกสำรวจทาง หาของกิน แถวๆสถานี Kawaguchiko
โดยที่ทริปนี้เราไม่ได้หาข้อมูลเรื่องของกินกันมาก่อนเลยย ดังนั้นเรื่องของกินคือเดินหาหน้างาน555 โดยหลังจากเดินไปเรื่อยจนได้ไปเจอกับร้านสเต็ก ที่เรียกได้ว่าเป็นไม่กี่ร้านที่เปิดอยู่แถวๆนั้น
แต่ก็ถือว่าเป็นการเลือกร้านที่ใช้ได้โดยเมนูสเต็กร้านนี้อร่อยมากก จนเกิดการสั่งซ้ำซึ่งค่าเสียหายในมื้อนี้ก็ถือว่าใช้ได้555 หลังจากที่กินมื้อเย็นเสร็จก็เดินกลับที่พักไปดื่มด่ำบรรยากาศที่พักต่อ และจบวันแรกด้วยเรื่องราวประมาณนี้
วันที่ 2
ต่อจากวันแรกหลังจากที่เราตื่นเช้ามาก็พบกับเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดที่สุดนั้นก็คือฝนตก โดยพยากรณ์อากาศบอกว่าวันนั้นฝนจะตกทั้งวันเลย จากแผนเดิมที่เช้านี้เราจะไปดู Shibazakura กันก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งน่าเสียดายมากๆ จะไปที่อื่นแทนก็ไม่ต่างกันเนื่องจากฝนตกหมอกลงในวันนั้นมองไม่เห็นฟูจิเลย แต่ก็ทำให้มีเวลาที่บ้านเพิ่มมากขึ้นดื่มด่ำกับบ้านมากขึ้นไม่ต้องรีบออกจากที่พัก
และเมื่อถึงเวลา checkout ถึงฝนจะยังไม่ตกแต่เราก็ต้องเดินทางกันต่อโดยเราต้องเดินทางจากสถานี Kawaguchiko ไปสถานี Kofu เนื่องจากรถไฟที่เราจองไว้เพื่อไป Matsumoto ต้องขึ้นต่อจากที่นั่น โดยเราต้องขึ้นรถ Bus สาธารณะในช่วงฝนตกพร้อมกระเป๋าเดินทางอีก 8 ใบโดยเดินทางประมาณ 30 จุดจอด ++ ซึ่งถือว่าสู้ชีวิตใช้ได้
และเมื่อมาถึงที่สถานี Kofu เนื่องจากเรามีเวลาที่นี่เพิ่มขึ้นเพราะไม่ได้ไป Shibazakura เลยได้หามื้อเที่ยงที่นี่โดยก็แน่นอนว่าเดินไปมั่วๆหาร้านที่น่ากินจนไปจบที่ร้านร้านนึงไม่ไกลจากสถานี ร้านชื่ออะไรก็ไม่รู้55 แต่อาหารอร่อยดีให้เยอะมาก บริการดีสุดๆ ถึงจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่😅
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จก็ยังพอมีเวลาเหลือเลยได้ไปเดินคล้ายๆห้างซึ่งมีอุปกรณ์ IT เยอะมากรอ และเมื่อถึงเวลาเราก็เดินทางกันต่อจาก Kofu ไป Matsumoto ด้วยรถไฟ เมื่อมาถึงสถานี Matsumoto เราก็เดินไปเข้าที่พักซึ่งที่พักในคืนที่ 2 นี้ค่อนข้างไกลจากสถานีหน่อยใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที แต่ที่พักในคืนที่ 2 นี้อยู่ใกล้กับปราสาท Matsumoto มากๆ
โดยเมื่อเรามาถึงที่พักหลังจาก Checkin สำรวจที่พักเก็บของกันเสร็จ เราก็เดินไปที่ ปราสาท Matsumoto และหาของกินต่อโดยในวันนั้นการจะหาร้านอาหารสักร้านที่รับคน 8 คนค่อนข้างยากมาก กว่าจะเจอร้านที่น่ากินก็เดินกันไปไกลมาก แต่ก็สนุกดีถือว่าได้เดินชมเมือง
และ ก็กลับมาที่พัก หลังจากการกลับมาที่พักเนื่องจากตั้งแต่วันแรกการเดินทางของเราค่อนข้างเยอะและเหนื่อยกันสุดๆจนมีการเปลี่ยนแผนวันที่ 3 จากการที่จะออกเดินทางไป Kamikochi ตั้งแต่ตี 5 เป็นรอบ 8 โมงแทน และจบการเดินทางในวันที่ 2
วันที่ 3
วันนี้จากแผนเดิมที่เราจะใช้เวลากันที่ Kamikochi กันทั้งวันจึงมีการเปลี่ยนโดยจะอยู่ที่ Kamikochi แค่ครึ่งวันและช่วงบ่ายเราจะไปกันต่อที่ Lakesuwa ซึ่งอยู่ไม่ไกล โดยที่เราก็เพิ่งมารู้จักสถานที่นี้คืนก่อนหน้านั้นเลย55 เนื่องจากที่พักของเรามีรูปแผนที่แนะนำที่ท่องเที่ยวอยู่ และผมก็รู้สึกว่ารูปมันคุ้นๆเหมือนทะเลสาปใน Your Name ในฉากที่อุกกาบาตมันมาถล่มเมืองพอลองค้นหาดูก็ใช่นี่หว่า ที่นี้มันคือทะเลสาปใน Your Name จริงๆ เลยมีการเพิ่มสถานที่นี้เข้าไปแบบสดๆหน้างาน
เราออกจากที่พักเดินทางกันไปที่สถานี Matsumoto เพื่อขึ้นรถไฟไป Kamikochi และไปต่อรถบัสอีกที โดยระหว่างนี้ก็เกิดความบรรเทิงขึ้นเนื่องจากเราไม่รู้ว่ามันต้องไปต่อรถบัสอีกทีเลยกดซื้อตั๋วมาผิด แล้วดันไปซื้อตั๋วรถบัสที่ซ้ำซ้อนอีกรอบที่จุดเปลี่ยนรถบัส แต่พี่พนักงานก็ใจดีมากให้ refund ส่วนที่ซ้ำกันได้ขอบคุณพี่พนักงานมากครับบ พี่เขาช่วยเหลือดีมาก
หลังจากผ่านปัญหาเรื่องตั๋วเราก็เดินทางต่อกันไปที่ Kamikochi โดยวิวบนรถบัสระหว่างทางก็สวยมากๆ หลังจากที่มาถึงแล้วเนื่องจากเช้าวันนี้รีบมากๆตอนเดินทางผมเลยยังไม่ได้กินอะไรเลยพุ่งไปหาของกินที่นี่ก่อนโดยได้ข้าวกล่องจากร้านตรงนั้นซึ่งอร่อยมากราคาไม่แพงด้วย
หลังจากที่กินข้าวเสร็จด้วยความรวดเร็วก็ได้เวลาเดินเที่ยวโดยเราไม่ได้ไปไกลมากใช้เวลาไปกับการถ่ายรูปและเดินไปถึงสะพานกัปปะ ซื้อของฝาก ถ่ายรูป
เมื่อถึงเวลาเราก็เดินทางกลับลงมาจาก Kamikochi กลับไปที่ Matsumoto อีกครั้งเพื่อที่จะเดินทางต่อไปสถานที่ต่อไป
กินมื้อเที่ยวเป็นร้านโซบะในสถานี และเดินทางต่อไปที่สถานี Kamisuwa หลังจากมาถึงที่สถานีก็เดินต่อไปที่ทะเลสาปซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานี
ในช่วงเวลาที่เราไปถึงเป็นช่วงบ่ายๆ แดดยังค่อนข้างแรงอยู่แต่อากาศถือว่าเย็นสบาย เลยไปหาที่นั่งหลบแดด โดยไปเจอก้อนหินก้อนใหญ่ๆซึ่งมีเงาให้นั่งหลบแดดได้สบายๆเลย
โดยเราก็ใช้เวลาอยู่ที่ทะเลสาปนั้นจนถึงช่วง 4 โมง โดยที่เราเจอว่าแถวๆทะเลสาปก็มีปราสาทอยู่ด้วยเลยเดินต่อจากทะเลสาปไปที่นั่นกัน และใช้เวลาถ่ายรูปนั่งเล่นที่ทะเลสาปจนถึงประมาณเกือบ 6 โมง
โดยหลังจากจบที่ปราสาทก็เกิดการแบ่งกลุ่มกันเดินทางต่อเกิดขึ้นโดยที่กลุ่มหนึ่งต้องการกลับไป Matsumoto แล้วแต่อีกกลุ่มยังอยากอยู่ต่อที่ Lakesuwa ต่อโดยกลุ่มที่ยังอยากอยู่ต่อก็คือผมเองเนื่องจากบรรยากาศที่ทะเลสาปเหมาะกับการนั่งดูพระอาทิตย์ตกมากเลยต้องรีบเดินจากปราสามกลับมาที่ทะเลสาปอีกครั้งเพื่อมาดูพระอาทิตย์ตกซึ่งก็คุ้มค่ามากๆกับการกลับมาวิวตรงนี้สวยมากก
หลังจากที่พระอาทิตย์ตกแล้วเราก็ไปนั่งแช่เท้ากันที่ริมทะเลสาปได้แปปเดียวเนื่องจากเขาปิดน้ำร้อนแล้ว 😭 จึงปรึกษาหาร้านมื้อเย็นโดยที่ตกลงกันได้ว่ามื้อนี้อยากกิน yakiniku โดยก็ค้นร้านจาก Google Map ได้มาร้านนึงอยู่ใกล้ๆสถานี เลยเดินไปที่ร้าน เมื่อมาถึงตามหมุดแล้วหาร้านไม่เจอ เกิดความวุ่นวายขึ้นในการเดินตามหาร้านอยู่นานมากกว่าจะเจอ ต้องขอบคุณคุณพี่ 2 คนที่ช่วยบอกทางให้จนผมมาถึงร้าน และได้กินปิ้งย่างสมใจโดยมื้อนี้อร่อยมากก เนื้อ A5 ดีๆกับข้าวร้อนๆ อร่อยยยย
หลังจากกินเสร็จก็เดินทางกลับไปที่ Matsumoto และกลับที่พัก เตรียมเดินทางกลับ Tokyo กันในตอนเช้า
วันที่ 4
ในวันนี้เราจะเดินทางจาก Matsumoto ไปที่ สถานี Nagano เพื่อที่จะขึ้นรถไฟ Shinkanzen กลับไปที่ Tokyo โดยออกจากที่พักประมาณ 9 โมงและเดินทางถึง Nagano ประมาณ 10 โมงกว่าๆ และต่อ Shinkanzen กลับ Tokyo โดยถึงประมาณ บ่ายโมง
หลังจากมาถึง tokyo แล้วเราก็เดินทางไปที่พักต่อผ่าน Tokyo Metro ซึ่งตรงนี้บัตร Suica ทำให้การเดินทางของเราสะดวกขึ้นเยอะเลย โดยที่พักในคืนนี้ของเราอยู่ใกล้กับสถานี Tawaramachi ใน Ginza line หลังจากที่เราฝากกระเป๋าไว้กับที่พักเรียบร้อยเราก็ไปกันต่อที่วัดอาซากุซะ โดยใช้เวลาที่วัดจนถึงประมาณบ่าย 3 ครึ่ง
เนื่องจากสภาพแต่ละคนที่เหนื่อยสุดๆ ล้าสะสมกันมาหลายวันวันนี้เลยหมดแรงกันไว เลยตัดสินใจกลับมาที่พักเพื่อ Checkin และเข้าที่พักเพื่อพักกันก่อนจะออกไปเที่ยวต่อกันในช่วงเย็น
สำหรับแพลนในตอนเย็นของเรานั้นคือการไป Sumida aquarium ซึ่งอยู่ในตึก Tokyo Skytree โดย aquarium ที่นี่ทำดีมากตู้ปลาทุกตู้สะอาดมากๆ น้ำใสสุดๆ ปลาอย่างสวย แต่ขนาด aquarium ที่นี่ค่อนข้างเล็กมากๆ เดินแปปเดียวก็ทั่วแล้วใครที่คาดหวังว่าจะมีอะไรให้ดูเยอะๆอาจจะไม่ถูกใจเท่าไหร่ แต่ถือว่าคุณภาพสุดๆ
หลังจากออกจาก aquarium ก็ถึงเวลาของมื้อเย็นโดยแบ่งออกมา 2 กลุ่มกลุ่มนึงจะไปกินปิ้งย่างกันและอีกกลุ่มนึงจะไปกินข้าวหน้าปลาไหล ซึ่งกลุ่มที่จะไปกินข้าวหน้าปลาไหลก็คือผมเอง แยกย้ายกันไปกิน ข้าวหน้าปลาไหลร้านที่ผมได้ไปกินอร่อยมากก และในร้านก็มีเมนูแปลกๆที่น่าลองแล้วผมก็ได้ลองนั่นก็คือซาซิมิเนื้อม้า หน้าตาดูดีมาก รสชาติถือว่าใช้ได้ texture คือดีสุดๆ ละลายในปาก แต่มีกลิ่นเฉพาะตัวไม่ใช่กลิ่นคาวหรือสาปแต่เป็นกลิ่นอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พอได้เอาวาซาบิใส่ก็สามารถลบกลิ่นนั้นไปได้เลยกลายเป็นเนื้อที่อร่อยเลย
หลังจากกินเสร็จก็กลับโรงแรมกันและที่โรงแรมที่ผมพักนี้ก็มีบ่อออนเซ็นให้สามารถเข้าไปใช้งานได้ ซึ่งดีมากกกกกๆ มีทั้งบ่อ indoor และบ่อ outdoor โดยบริเวณ outdoor เป็นระเบียงที่สามารถเห็นวิวเมืองได้สวยมากๆ และก็จบวันที่ 4
วันที่ 5
วันนี้เป็นวัน Freeday ซึ่งแต่ละคนก็สามารถที่จะแยกกันไปเที่ยวได้ตามอัธยาศัย จากวันที่ 4 ที่ไปวัดอาซากุซะคนเยอะมากก แล้วร้อนสุดๆ เลยนึกถึงศาลเจ้าอีกที่ที่เคยไปนั่นก็คือ Meiji jingu shrine ซึ่งบรรยากาศดีมากเป็นป่า อากาศไม่ร้อน ร่มรื่น นี่เลยเป็นเป้าหมายแรกในวัน freeday นี้
หลังจากมื้อเช้าที่โรงแรมก็ออกเดินทางไป Meiji jingu shrine ซึ่งสามารถไปได้ผ่าน Metro เลย เปิดวันด้วยการเข้าวัด ซื้อเครื่องราง
หลังจากออกจากศาลเจ้า เมื่อมาถึงโตเกียวและเป็นวันสุดท้ายก่อนกลับ แน่นอนว่าไม่พ้นการ Shopping เลยไปต่อกันที่ Shinjuku และเนื่องจากเป็นตอนเที่ยงพอดีเลยได้หามื้อเที่ยงแถวนั้นเลยไปจบที่ร้านซูชิ
หลังจากได้ของจาก Shinjuku แล้วก็ต่อด้วย Shibuya และปิดท้ายด้วย Akihabara
หลังจากเดิน Shooping กันทั้งบ่ายแน่นอนว่าหิวแบบ 300% เมื่อมาถึงญี่ปุ่นหนึ่งในสิ่งที่สงสัยแล้วอยากลองก็คืออยากรู้ว่าชาบูที่นี่รสชาติจะเหมือนที่ไทยมั้ย แน่นอนว่ามื้อเย็นวันนี้เป็นชาบู
และจบคืนสุดท้ายในญี่ปุ่นด้วยการแช่ออนเซ็น + เดินเล่นแถวที่พัก ก่อนที่เช้าวันถัดไปต้องเดินทางไปสนามบินแต่เช้า
วันที่ 6
วันสุดท้ายในญี่ปุ่น เนื่องจากเกิดการเลื่อนเที่ยวบินขึ้นทำให้จากกำหนดการเดิมที่จะบินกลับเวลาบ่าย 2 กลายเป็น เที่ยง ทำให้ในวันนี้มีเวลาน้อยลงไปมาก และเนื่องจากที่พักเรากับสนามบินนาริตะค่อนข้างไกลกันมาก เลยต้องรีบออกกันแต่เช้าเพื่อไปขึ้นรถไฟไปสนามบิน
เช็คอิน ผ่าน ตม กินข้าว shopping ของฝากครั้งสุดท้ายและเดินทางกลับไทยเป็นอันจบทริปในครั้งนี้ 👋🇯🇵✈️🇹🇭
สรุป
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทริปนั้นมีมากกว่าที่เขียนเล่ามาเยอะคิดว่ามาเขียนเล่าคงไม่น่าจะสามารถทำได้หมด ถ้าไม่ขี้เกียจจะมีคลิป VLOG มาแปะไว้ในนี้ให้นะ😂
ก็จบไปสำหรับทริป TOWNS in Japan หวังว่าอนาคตจะมีโอกาสได้ไปอะไรแบบนี้อีกในอนาคตอันใกล้
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบครับ ใครที่ยังรอ Singapore part 2 ก็รอต่อกันไปก่อนนะครับ😂
Credit
- รูปจากเพื่อนๆ